หน่วยที่ 3 เรื่องการสร้างเสริมสุขภาพ
เรื่องสุขภาพกับสิ่งแวดล้อม (ชั่วโมงที่ 1)
นักเรียนมาศึกษาความรู้จากลิงค์ เรื่องสุขภาพกับสิ่งแวดล้อม
ขอให้ผู้ปกครองช่วยให้คำแนะนำแก่นักเรียนในเรื่องนี้ด้วยนะครับ
เด็กๆครับ มารู้จักเนื้อหาเกี่ยวกับ เรื่องสุขภาพกับสิ่งแวดล้อม
1. ความสำคัญของสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อสุขภาพ
ทุกคนอาศัยสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิต เช่น เราใช้น้ำในการดื่มกินและชำระล้างสิ่งต่างๆ
เราต้องการอากาศบริสุทธิ์ไว้สำหรับหายใจ ต้องการบ้านสำหรับอยู่อาศัย เป็นต้น
เราต้องการอากาศบริสุทธิ์ไว้สำหรับหายใจ ต้องการบ้านสำหรับอยู่อาศัย เป็นต้น
2. ปัญหาของสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อสุขภาพคน และสิ่งแวดล้อมมีความสัมพันธ์กัน ดังนั้น
เมื่อเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมจึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนเราด้วย
เมื่อเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมจึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนเราด้วย
2.1 ปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่เกิดขึ้นในสังคมมีอยู่หลายปัญหา ได้แก่
- ขยะมูลฝอยและสิ่งปฎิกูล ในปัจจุบันขยะมูลฝอยและสิ่งปฎิกูลมีจำนวนเพิ่มขึ้น
และทำให้เกิดกลิ่นเหม็นและเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค
และทำให้เกิดกลิ่นเหม็นและเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค
- มลพิษทางน้ำ น้ำเน่าเสีย หรือน้ำมีสารพิษต่อร่างกายผสมอยู่ ทำให้เป็นอันตรายต่อ
ผู้ใช้น้ำ
ผู้ใช้น้ำ
- มลพิษทางอากาศ เกิดจากในอากาศมีสารพิษปะปนอยู่จำนวนมาก ทำให้เกิด
อันตรายต่อระบบหายใจและสุขภาพของตนเอง
อันตรายต่อระบบหายใจและสุขภาพของตนเอง
- มลพิษทางเสียง เกิดจากการมีเสียงดังมากๆ ไปรบกวนการทำงาน จนเกิดความ
รำคาญ
รำคาญ
- ดินเสีย ในดินมีสารเคมีเชื้อโรคสิ่งสกปรกไปเจือปนอยู่ ทำให้เป็นอันตรายต่อ
สุขภาพ
สุขภาพ
2.2 ผลกระทบต่อสุขภาพ ปัญหาสิ่งแวดล้อมมีผลกระทบต่อสุขภาพของคนเรา ดังนี้
1. ด้านร่างกาย
- เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย
- สุขภาพกายเสื่อมโทรม
- ร่างกายอ่อนแอ
- เกิดโรคระบาดได้ง่าย
- สุขภาพกายเสื่อมโทรม
- ร่างกายอ่อนแอ
- เกิดโรคระบาดได้ง่าย
2. ด้านจิตใจ
- เกิดความรำคาญ หงุดหงิด
- เกิดความเครียด
- เกิดความเบื่อหน่าย ท้อแท้
3. ด้านความปลอดภัย
- ไม่มีที่อยู่อาศัย
- ทรัพย์สินเสียหาย
- เกิดอาชญากรรมต่างๆ เช่น ถูกปล้น ถูกฆาตกรรม
- เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
3. การป้องกันและการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อสุขภาพ
สิ่งแวดล้อมมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของคนเรา ดังนั้นเราจึงช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม
เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อสุขภาพ โดยการปฏิบัติ ดังนี้
เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อสุขภาพ โดยการปฏิบัติ ดังนี้
3.1 ลดหรือหลีกเลี่ยงการใช้วัสดุอุปกรณ์ สารเคมี ที่ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น โฟม พลาสติก
เป็นต้น
เป็นต้น
3.2 กำจัดขยะมูลฝอยในบ้านให้ถูกวิธี ภายในบ้านและบริเวณรอบบ้านควรมีถังขยะ และฝาปิด
มิดชิด มีถุงดำใส่รองรับขยะ และก่อนทิ้งขยะ ควรคัดแยกประเภทก่อน เพื่อนำขยะ
บางประเภทกลับไปหมุนเวียนใช้อีก และป้องกันการนำขยะมีพิษไปเผา
มิดชิด มีถุงดำใส่รองรับขยะ และก่อนทิ้งขยะ ควรคัดแยกประเภทก่อน เพื่อนำขยะ
บางประเภทกลับไปหมุนเวียนใช้อีก และป้องกันการนำขยะมีพิษไปเผา
3.3 กำจัดน้ำทิ้งในบ้าน และโรงเรียนอย่างถูกวิธี ก่อนระบายน้ำลงท่อสาธารณะ
3.4 ใช้น้ำอย่างประหยัด ไม่เปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ในขณะการแปรงฟัน หรืออาบน้ำ
3.5 ใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด เช่น ปิดสวิตช์ไฟเมื่อไม่ใช้งาน ใช้หลอดไฟฟูลออเรสเซนต์
ที่เป็นหลอดผอมแทน
ที่เป็นหลอดผอมแทน
3.6 มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น ใช้น้ำมันไร้สารตะกั่ว
4. พฤติกรรมที่แสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสุขภาพของส่วนรวม
การมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของส่วนรวมเป็นสิ่งที่สำคัญมากในปัจจุบัน เพราะปัญหา
สุขภาพเป็นปัญหาที่มีผลต่อตนเอง ครอบครัว และประเทศ เช่น ถ้ามีผู้เจ็บป่วยด้วยโรคระบาด
อาจทำให้คนในครอบครัว สังคม หรือประเทศ ติดโรคระบาดนี้ไปด้วย
สุขภาพเป็นปัญหาที่มีผลต่อตนเอง ครอบครัว และประเทศ เช่น ถ้ามีผู้เจ็บป่วยด้วยโรคระบาด
อาจทำให้คนในครอบครัว สังคม หรือประเทศ ติดโรคระบาดนี้ไปด้วย
เด็กๆครับ หลังจากนักเรียนได้ศึกษาเนื้อหาในเรื่องสุขภาพกับสิ่งแวดล้อม
แล้วมาทำแบบฝึกหัดกันนะครับ
แบบฝึกหัด
สรุปก่อนจบบทเรียน เรื่องสุขภาพกับสิ่งแวดล้อม
เรื่องโรคภัยป้องกันได้ (ชั่วโมงที่ 2)
นักเรียนมาศึกษาความรู้จากลิงค์ เรื่องโรคภัยป้องกันได้
ขอให้ผู้ปกครองช่วยให้คำแนะนำแก่นักเรียนในเรื่องนี้ด้วยนะครับ
เด็กๆครับ มารู้จักเนื้อหาเกี่ยวกับ เรื่องโรคภัยป้องกันได้
โรคติดต่อ หมายถึง โรคที่เกิดจากเชื้อโรคหรือพิษของเชื้อโรคที่อาจติดต่อจากคนหรือสัตว์
โรคติดต่อเป็นปัญหาสำคัญมาก เพราะทำให้เกิดผลเสียมากมาย ดังนั้น เราจึงควรศึกษาวิธีป้องกันโรค
โรคติดต่อเป็นปัญหาสำคัญมาก เพราะทำให้เกิดผลเสียมากมาย ดังนั้น เราจึงควรศึกษาวิธีป้องกันโรค
ติดต่อ
1. อหิวาตกโรค เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียซึ่งพบในสัตว์เสี้ยงและสัตว์ป่า ได้แก่ เป็ด ไก่
สุกร วัว ควาย สัตว์ประเภทฟันแทะ เช่น หนู กระรอก และสัตว์เลี้ยง เช่น เต่า ลูกไก่ สุนัข แมว
รวมทั้งคน มักพบการติดเชื้อเฉียบพลันในลำไส้ พบมากในเด็กเล็กและทารก
สุกร วัว ควาย สัตว์ประเภทฟันแทะ เช่น หนู กระรอก และสัตว์เลี้ยง เช่น เต่า ลูกไก่ สุนัข แมว
รวมทั้งคน มักพบการติดเชื้อเฉียบพลันในลำไส้ พบมากในเด็กเล็กและทารก
1.1 สาเหตุ
เชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยการกินอาหารที่เป็นผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่มีเชื้อหรือปนเปื้อนเชื้อ
จากอุจจาระของผู้ป่วยหรือสัตว์ที่เป็นโรค
จากอุจจาระของผู้ป่วยหรือสัตว์ที่เป็นโรค
1.2 อาการ
ปวดท้อง และถ่ายอุจจาระเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำวันละหลายๆครั้ง ครั้งละไม่มาก และมี
กลิ่นเหม็นคาว อาเจียน อ่อนเพลีย ชีพจรเต้นช้า และอาจถึงเสียชีวิตได้ เนื่องจาก
ร่างกายขาดน้ำ
กลิ่นเหม็นคาว อาเจียน อ่อนเพลีย ชีพจรเต้นช้า และอาจถึงเสียชีวิตได้ เนื่องจาก
ร่างกายขาดน้ำ
1.3 การรักษา
ควรรีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์ และให้ดื่มน้ำสะอาดมากๆ แต่ถ้าอาเจียนไม่ควรให้ดื่มน้ำ
เพราะจะทำให้อาเจียนอีก ซึ่งจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ
เพราะจะทำให้อาเจียนอีก ซึ่งจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ
ฝาชีมีตาถี่ ทำให้แมลงลอดเข้าไม่ได้
1.4 การป้องกันโรค ควรปฏิบัติ ดังนี้
- รับประทานอาหารที่สะอาดปรุงสุกใหม่ๆ
- ใช้ส้วมที่ถูกสุขลักษณะ และราดน้ำที่โถส้วมเพื่อทำความสะอาดหลังใช้เสร็จทุกครั้ง
- ล้างมือให้สะอาดหลังเข้าห้องน้ำ
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์ที่เป็นพาหะของโรค
2. โรคไข้หวัดนก
โรคไข้หวัดนก เป็นโรคติดต่อในสัตว์ปีก เช่น นกเป็ดน้ำ เป็ด ไก่ ตามปกติโรคนี้ติดต่อมายัง
คนได้ไม่ง่าย แต่คนที่สัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ที่เป็นโรคอาจติดเชื้อได้
คนได้ไม่ง่าย แต่คนที่สัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ที่เป็นโรคอาจติดเชื้อได้
2.1 สาเหตุ
คนสามารถติดเชื้อได้จากการสัมผัสสัตว์โดยตรง และทางอ้อมจากการสัมผัสกับสิ่ง
คัดหลั่งจากสัตว์ที่เป็นโรค เช่น อุจจาระ น้ำมูก น้ำตา น้ำลาย ของสัตว์ที่ป่วย ผู้ที่มีความ
เสี่ยงในการเกิดโรคนี้ ได้แก่ ผู้ที่มีอาชีพและใกล้ชิดสัตว์ปีก
คัดหลั่งจากสัตว์ที่เป็นโรค เช่น อุจจาระ น้ำมูก น้ำตา น้ำลาย ของสัตว์ที่ป่วย ผู้ที่มีความ
เสี่ยงในการเกิดโรคนี้ ได้แก่ ผู้ที่มีอาชีพและใกล้ชิดสัตว์ปีก
2.2 อาการ
ผู้ป่วยมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ไอ และเจ็บคอ
บางครั้งพบว่ามีอาการตาแดง ซึ่งจะหายเองได้ภายใน 2 ถึง 7 วัน หากมีอาการ
แทรกซ้อนจะมีอาการรุนแรงถึงปอดบวม และเกิดระบบหายใจล้มเหลวได้ โดยเฉพาะ
ในเด็กและผู้สูงอายุ
บางครั้งพบว่ามีอาการตาแดง ซึ่งจะหายเองได้ภายใน 2 ถึง 7 วัน หากมีอาการ
แทรกซ้อนจะมีอาการรุนแรงถึงปอดบวม และเกิดระบบหายใจล้มเหลวได้ โดยเฉพาะ
ในเด็กและผู้สูงอายุ
2.3 การควบคุมและป้องกัน
กรมควบคุมโรค ได้ให้คำแนะนำสำหรับประชาชนเพื่อป้องกันโรคติดต่อจากสัตว์ปีก ดังนี้
- ผู้บริโภคไก่และผลิตภัณฑ์จากไก่
- ผู้ประกอบการ
- ผู้ชำแหละไก่
- ผู้ขนย้ายสัตว์ปีก
- เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่
- การป้องกันโรคให้แก่เด็ก
3. โรคมือ เท้า ปาก
โรคมือ เท้า ปาก เกิดจากเชื้อไวรัสลำไส้ พบได้บ่อยในกลุ่มเด็กทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า
5 ปี โรคนี้อาจเกิดตลอดปี แต่พบมากขึ้นในฤดูฝนซึ่งอากาศมักเย็น และเชื้อโดยทั่วไปโรคนี้
มีอาการไม่รุนแรง
5 ปี โรคนี้อาจเกิดตลอดปี แต่พบมากขึ้นในฤดูฝนซึ่งอากาศมักเย็น และเชื้อโดยทั่วไปโรคนี้
มีอาการไม่รุนแรง
3.1 สาเหตุ
การติดต่อส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสเข้าปากโดยตรง โดยเชื้อติดมากับมือหรือของเล่น
ที่เปื้อนน้ำลาย น้ำมูก น้ำจากตุ่มพองและแผล หรืออุจจาระของผู้ป่วย และอาจเกิดจาก
การไอจามรดกัน
ที่เปื้อนน้ำลาย น้ำมูก น้ำจากตุ่มพองและแผล หรืออุจจาระของผู้ป่วย และอาจเกิดจาก
การไอจามรดกัน
3.2 อาการ
หลังจากได้รับเชื้อ 3-6 วัน ผู้ติดเชื้อจะแสดงอาการป่วย เริ่มด้วยมีไข้ต่ำๆ และอ่อนเพลีย
ต่อมา 1-2 วัน มีอาการเจ็บปาก และไม่รับประทานอาหาร เนื่องจากมีตุ่มแดงที่ลิ้น เหงือก
และกระพุ้งแก้ม ตุ้มนี้จะกลายเป็นตุ่มพองใส ซึ่งบริเวณรอบๆ จะอักเสบและแดงจะพบตุ่ม
หรือผื่น ที่ฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า และอาจพบที่ก้นด้วย อาการจะทุเลาและหายเป็นปกติ
ภายใน 7-10 วัน
ต่อมา 1-2 วัน มีอาการเจ็บปาก และไม่รับประทานอาหาร เนื่องจากมีตุ่มแดงที่ลิ้น เหงือก
และกระพุ้งแก้ม ตุ้มนี้จะกลายเป็นตุ่มพองใส ซึ่งบริเวณรอบๆ จะอักเสบและแดงจะพบตุ่ม
หรือผื่น ที่ฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า และอาจพบที่ก้นด้วย อาการจะทุเลาและหายเป็นปกติ
ภายใน 7-10 วัน
3.3 การรักษา
โรคนี้ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แพทย์จะให้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวด
และให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อนๆ รสไม่จัด ดื่มน้ำและน้ำผลไม้ และนอนพักผ่อน
มากๆ แต่ถ้ามีอาการไม่ดีขึ้นต้องรีบพาไปโรงพยาบาลใกล้บ้านทันที
และให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อนๆ รสไม่จัด ดื่มน้ำและน้ำผลไม้ และนอนพักผ่อน
มากๆ แต่ถ้ามีอาการไม่ดีขึ้นต้องรีบพาไปโรงพยาบาลใกล้บ้านทันที
3.4 การป้องกันโรค ควรปฏิบัติ ดังนี้
- ควรแนะนำบุตรหลานให้รักษาความสะอาดโดยตัดเล็บมือและเล็บเท้าให้สั้น
- หมั่นล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากการขับถ่าย และก่อนรับประทานอาหาร
- ควรใช้ช้อนกลางขณะรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น
- หมั่นดูแลรักษาสุขลักษณะของสถานที่และอุปกรณ์เครื่องใช้ให้สะอาดอยู่เสมอ
4. โรคเอดส์
โรคเอดส์ เกิดจากเชื้อไวรัส มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Human lmmuno deficiency Virus
(HIV) เป็นโรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องจนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรค หรือ
สิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกายได้ ทำให้เกิดโรคที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ง่ายกว่า
คนปกติ
(HIV) เป็นโรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องจนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรค หรือ
สิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกายได้ ทำให้เกิดโรคที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ง่ายกว่า
คนปกติ
4.1 สาเหตุ
โรคเอดส์ ติดต่อกันได้หลายทาง แต่ที่สำคัญและพบบ่อยได้แก่
- การร่วมเพศกับผู้ป่วยโรคเอดส์
- การรับถ่ายเลือดจากผู้ป่วยโรคเอดส์
- การใช้เข็มฉีดยาที่ไม่สะอาดหรือร่วมกับผู้ป่วยโรคเอดส์
- จากแม่ที่ตั้งครรภ์ป่วยเป็นโรคเอดส์ ติดต่อไปถึงลูกที่อยู่ในครรภ์
4.2 อาการของโรค
หลังจากการได้รับเชื้อโรคเอดส์เข้าไปในร่างกายแล้วจะมีอาการ ดังนี้
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
- มีไข้นานเป็นเดือนๆ
- ต่อมน้ำเหลืองโต
- ท้องเดินเรื้อรังจากโรคพยาธิ
- มีแผลในปาก และตามผิวหนัง
- มีอาการทาง เช่น ชัก อัมพาต
- เป็นโรคติดเชื้อต่างๆ โดยเฉพาะปอดบวมจากพยาธิ เชื้อรา วัณโรค เป็นต้น
4.3 การรักษา
ปัจจุบันยังไม่มียาใดรักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้ การรักษาจึงเป็นการรักษาโรคติด
เชื้ออื่นๆ ที่แทรกซ้อน ซึ่งไม่ค่อยได้ผลนัก เพราะผู้ขาดภูมิต้านทาน และมักเสียชีวิต
เนื่องจากโรคติดเชื้อ
เชื้ออื่นๆ ที่แทรกซ้อน ซึ่งไม่ค่อยได้ผลนัก เพราะผู้ขาดภูมิต้านทาน และมักเสียชีวิต
เนื่องจากโรคติดเชื้อ
4.4 การป้องกัน
- ไม่สำส่อนทางเพศ ควรสวมถุงยางอนามัยเวลาร่วมเพศ
- ก่อนรับการถ่ายเลือด ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้บริจาคเลือดไม่มีเชื้อโรคเอดส์
- อย่าใช้เข็มฉีดยาที่ไม่สะอาด หรือใช้เข็มร่วมกับผู้ติดสารเสพติด
เด็กๆครับ หลังจากนักเรียนได้ศึกษาเนื้อหาในเรื่องโรคภัยป้องกันได้
แล้วมาทำแบบฝึกหัดกันนะครับ
แบบฝึกหัด
สรุปก่อนจบบทเรียน เรื่องโรคภัยป้องกันได้